Triband diode laser for hair removal

Triband diode laser for hair removal

นวัตกรรม “การกำจัดขน”

Diode laser ที่รวมทั้ง 3 ความยาวคลื่น (755 nm + 808 nm + 1064 nm) พร้อมกับ Contact Skin Cooling เพื่อลดอาการเจ็บ มีประสิทธิภาพในการกำจัดขนให้ผิวเรียบเนียน โดยครอบคลุมทุกระดับความตื้น-ลึกของรากขน ครอบคลุมสีขนอ่อนและเข้ม อีกทั้งครอบคลุมทั้งความบางและหนาของเส้นขน พร้อมป้องกันการกลับมาใหม่ของเส้นขน

ความสามารถของ 3 ความยาวคลื่นที่ใช้กำจัดขน

EOS-ICE Diode laser 3 wavelengths (755 nm + 808 nm + 1064 nm)

Diode laser 755 nm (10%)

  • เป็นช่วงความยาวคลื่นที่เม็ดสีเมลานินสามารถดูดซับแสงได้ดีมากถึงผิวหนังชั้นในส่วนลึก (deep dermis)
  • สามารถดูดซับแสงได้สูงกว่า ไดโอด 808 nm ประมาณ 25% และ Nd:YAG (1064 nm) ประมาณ 60%
  • เหมาะกับ skin type IV หรือผู้ที่มีสีผิวค่อนข้างขาวสีผิวน้ำผึ้ง สีขนสีอ่อน และขนที่รากฝังตัวอยู่ตื้น ๆ เช่นขนคิ้ว ขนเหนือริมฝีปากบน ขนอ่อนบริเวณใบหน้า เป็นต้น
  • ไม่เหมาะในการนำไปใช้ในผู้ที่มีผิวคล้ำมาก (skin type VVI) เนื่องจากมีเม็ดสีเมลานินในหนังกำพร้ามาก ซึ่งจะแย่งจับกับพลังงานจากเลเซอร์ทำให้พลังงานทะลุลงมาถึงรากขนได้น้อย ไม่เพียงพอต่อการทำลายและอาจทำให้เกิดผิวไหม้อีกด้วย แต่

Diode laser 808 nm (80%)

  • ความยาวคลื่นในช่วงนี้จะดูดซับแสงได้น้อยกว่า alexandrite laser ประมาณ 25% และสามารถทะลุลงผิวหนังได้ลึกกว่า 
  • ดูดซับแสงได้สูงกว่า 1,064 nm ประมาณ 40%
  • เหมาะสำหรับคนที่มีผิวขาวไปจนถึงผิวสีกลางๆ
  • ไม่เหมาะในผู้ที่ผิวคล้ำมากหรือมีผิวสีแทน เพราะอาจเกิดรอยไหม้ได้
  • สามารถเข้าจับเนื้อเยื่อเป้าหมายบริเวณ hair bulb และ bulge ของต่อมรากขน
  • เหมาะสมในการกำจัดขนบริเวณแขน ขา แก้ม หนวด ไม่เหมาะกับการทำที่ผิวหน้าหรือในบริเวณเล็ก ๆ ที่ต้องการความละเอียด

Diode laser 1,064 nm (10%)

  • สามารถทะลุลงไปใต้ผิวหนังได้ลึก แต่เมลานินจะดูดซับแสงได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับความยาวคลื่นอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น
  • สามารถลงไปในระดับที่ลึกที่สุดของต่อมรากขน
  • เหมาะกับผู้ที่มีผิวคล้ำ เนื่องจากมีโอกาสเกิดผิวไหม้น้อยที่สุด
  • เหมาะกับการกำจัดขนที่รากฝังลงในระดับลึก เช่นบริเวณรักแร้ บิกินี่

EOSICE Diode laser ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย.ไทย, U.S. FDA และ CE

Diode laser เหมาะสำหรับ

  • กำจัดหนวด เครา ขนอ่อนบนใบหน้า
  • กำจัดขนรักแร้
  • กำจัดขนแขน
  • กำจัดขนขา
  • กำจัดขนบิกินี่
  • รักษาขนคุด

การเตรียมตัวก่อนกำจัดขนด้วย Diode laser

  • หยุดกำจัดขนด้วยวิธีแบบชั่วคราวต่าง ๆ แล้วปล่อยให้ขนขึ้นตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ระยะหนึ่ง ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ หรือยาวอย่างน้อย 1 ซ.ม.
  • ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัดเป็นระยะเวลานาน และ ไม่ควรใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว รวมถึงทำการลอกผิว ขัดผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์ ก่อนทำเลเซอร์กำจัดขน

ขั้นตอนการทำ Diode laser เพื่อกำจัดขน

  • ทำการเล็ม หรือโกนบริเวณที่ต้องการกำจัดขนออก
  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณดังกล่าว
  • ทาเจลเย็นเพื่อลดการอักเสบ ระคายเคืองในบริเวณที่ต้องการทำเลเซอร์
  • ทำเลเซอร์กำจัดขน ซึ่งหัวมีระบบทำความเย็นพร้อมกับการทำเลเซอร์ไปควบคู่กันป้องกันอาการเจ็บหรือรู้สึกแสบร้อน
  • เมื่อทำจนทั่วบริเวณแล้ว เช็ดเจลและทำความสะอาดผิว
  • ทาเจลว่านหางจระเข้และครีมเพื่อเป็นการลดการอักเสบและระคายเคืองจากเลเซอร์

เวลาที่ใช้ในการกำจัดขนด้วย Diode laser

ใช้เวลาประมาณครั้งละ 1030 นาที ขึ้นกับบริเวณที่ทำ

ความถี่ในการกำจัดขนด้วย Diode laser

  • บริเวณใบหน้าควรเว้น 46 สัปดาห์
  • บริเวณรักแร้และขาหนีบควรเว้น 68 สัปดาห์
  • บริเวณหน้าอก ตัว และแขนขา ควรเว้น 810 สัปดาห์
  • โดยเฉลี่ยควรทำทุก ๆ 13 เดือน ต่อเนื่องประมาณ 68 ครั้ง 

ผลลัพธ์ของการกำจัดขนด้วย Diode laser

  • ผลลัพธ์หลังทำครั้งแรกจะสังเกตได้ว่าปริมาณเส้นขนลดลงประมาณ 2030% และช่วยชะลอการงอกของเส้นขน เส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดเล็กลง สีอ่อนลง ปริมาณน้อยลง
  • สามารถกำจัดขนในระยะยาวได้ประมาณ 3060% ใน skin type IV และประมาณ 7590% เมื่อทำต่อเนื่อง 710 ครั้ง
  • ขนสีดำและหนา ใช้จำนวนครั้งประมาณ 35 ครั้ง
  • ขนเส้นเล็ก หรือมีสีที่อ่อนลง ใช้จำนวนครั้งที่ประมาณ 68 ครั้ง
  • หลังการรักษาอาจจะยังมีขนหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดเล็กลง สีอ่อนลง ปริมาณน้อยลง เมื่อทำติดต่อกันเรื่อย ๆ เส้นขนก็จะค่อย ๆ หมดไป
  • ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

การดูแลหลังกำจัดขนด้วย Diode laser

  • หลังการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ อาจมีอาการแสบร้อนคล้ายการไหม้แดดได้เล็กน้อย ซึ่งอาการมักหายไปภายใน 12 ชั่วโมง
  • หากมีรอยแดง หรือมีอาการแสบร้อน ให้ประคบด้วยเจลเย็นทันที หรืออาจทายาบริเวณรอยแดงหรือจุดแดงบ่อยๆ ทุก 12 ชม.หลังจากนั้นทาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังอาบน้ำ ประมาณ 35 วัน หรือจนกว่าจุดแดงหรือรอยแดงจะหายไป
  • ควรงดการใช้หินขัด หรือฟองน้ำขัดผิวในบริเวณที่กำจัดขนประมาณ 7 วัน หรือจนกว่าจุดแดงจะจางลงสามารถอาบน้ำ ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดประมาณ 3 วัน โดยเฉพาะบริเวณที่กำจัดขนอยู่นอกร่มผ้า เช่น การกำจัดหนวดเครา แขน เพราะอาจทำให้เกิดรอยดำตามมาได้

ข้อห้ามในการกำจัดขนด้วย Diode laser

  • ตั้งครรภ์
  • ประวัติ ผิวไหม้แดดง่าย ทา suntan บริเวณที่จะทำ
  • กินยา gold sodium thiomalate รักษา โรคข้อ ยาที่ทำให้ไวต่อแสง
  • มีแผลเป็น keloid
  • มีโรคทางผิวหนัง เช่น มะเร็งผิวหนัง สะเก็ดเงิน ผื่นผิวหนังอักเสบ เริม หรือ แผลเปิดบริเวณที่ทำ

ผลข้างเคียงในการกำจัดขนด้วย Diode laser

  • ผิวอักเสบ แดง ซึ่งอาการมักหายไปภายใน 12 ชั่วโมง
  • รอยดำหลังจากการอักเสบ มักหายไปภายใน 24 สัปดาห์
  • ผิวไหม้ มักหายไปภายใน 24 สัปดาห์
โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) คืออะไร ?

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) คืออะไร ?

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) เป็นสารพิษ (Toxin) ที่ได้จากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ทำให้กล้ามเนื้อขาดการรับรู้การสั่งงานจากเซลล์ประสาท มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวชั่วคราว

Botulinum toxin เหมาะสำหรับ

  • ลดริ้วรอยบริเวณรอยย่นหน้าผาก ระหว่างคิ้ว หางตา ย่นจมูก การแสดงสีหน้าต่างๆ ส่งผลให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานหนัก จึงเกิดริ้วรอยและร่องลึก เช่นการยิ้ม การเลิกหน้าผาก การขมวดคิ้วเป็นประจำ และช่วยปรับรูปคิ้ว
  • ปรับรูปหน้าเรียวเล็ก สำหรับคนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ ทำให้หน้าบานและกว้างไม่เรียว กล้ามเนื้อกรามที่ดูใหญ่นั้นสาเหตุหลักมาจากการใช้งานมากๆ เช่น การเคี้ยวอาหารที่แข็งต้องใช้แรงเคี้ยว การนอนกัดฟัน หรือ เกิดจากกรรมพันธุ์
  • ปรับรูปน่องเรียวเล็ก สำหรับคนที่ผู้ที่มีขาใหญ่จากการใช้กล้ามเนื้อน่องเยอะ เช่น เดินขึ้นลงบันได ปั่นจักรยาน และการวิ่งเป็นต้น
  • ลดการทำงานของต่อมเหงื่อ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือฝ่าเท้า
  • ทำให้เซลล์ผิวหนังหดตัว กระตุ้นการสร้างคอลาเจนใหม่ใต้ผิว เพื่อให้ใบหน้าดูยกกระชับ ลดรอยย่นบริเวณลำคอ และลดรูขุมขนกว้าง
  • รักษาไมเกรน รักษาลดอาการปวดหัวไมเกรนได้โดยอ้างอิงจากหลักการทำงานของโบท็อกซ์ที่ยับยั้งไม่ให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ชั่วคราว ทำให้อาการปวดไมเกรนลดลง
  • รักษา Office syndrome ด้วยท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณหลัง
  • รักษาภาวะ กล้ามเนื้อกระตุก

ความแตกต่างของ Botulinum Toxin แต่ละยี่ห้อที่ได้รับการรองรับจาก Thai FDA

เปรียบเทียบโบท็อก

ข้อมูลอ้างอิงจาก link.stringer และ ncbi.nlm.nih.gov

ปริมาณการใช้โบทอกซ์แต่ละจุด

การเลือกใช้ตัวโบทอกซ์นั้นจะต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไข ปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ความต้องการและความพึงพอใจในแต่ละราย โดยแพทย์จะประเมินการใช้ยาตามความเหมาะสมของแต่ละปัญหาแต่ละบุคคล แต่ละจุดจะสามารถบอกได้ในปริมาณที่คร่าวๆ ดังนี้

  • หน้าผาก ใช้ประมาณ 1020 Unit (U)
  • หว่างคิ้ว ใช้ประมาณ 820 U
  • ปรับรูปคิ้ว ใช้ประมาณ 610 U
  • หางตา ใช้ประมาณ 1220 U
  • ย่นจมูก ใช้ประมาณ 48 U
  • ปีกจมูก ยกปลายจมูก ใช้ประมาณ 412 U
  • กราม ใช้ประมาณข้างละ 2530 U
  • กระชับรูขุมขน ใช้ประมาณ 2530 U
  • ลิฟต์หน้าหรือคอ ใช้ประมาณ 3050 U
  • รักแร้ ใช้ประมาณ 80100 U
  • น่อง ใช้ประมาณ 100200 U

การดื้อยา Botulinum toxin

การฉีดโบท็อกซ์ที่ “บ่อย” และ “ถี่” หรือ ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่วนประกอบของตัวยาจะกระตุ้นให้ร่างการสร้างภูมิต้านทานขึ้น ทำให้เกิดการดื้อยา การฉีดครั้งถัดๆไป เห็นผลน้อยลงกว่าเดิม เห็นผลไม่นานเท่าเดิม หรือไม่เห็นผลเลย

ถ้าดื้อยาจนฉีดแล้วไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง แนะนำให้พักจากการฉีดโบท็อกซ์ไปเลย 2-3 ปี ถึงจะสามารถกลับมาฉีดได้อีก

การเตรียมตัวก่อนการฉีด Botulinum toxin

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความชำนาญ
  • ตรวจสอบโบท็อกซ์ก่อนฉีดทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจได้ว่าฉีดของแท้ได้มาตรฐาน วิธีการตรวจสอบ
  • งดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA, สครับหน้า, ขัดหน้า ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
  • งดแอลกอฮอล์ ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
  • งดใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม ใบแปะก๊วย เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำ 
  • ในรายที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • หากมีโรคประจำตัว ประวัติของโรคเริมบริเวณฝีปาก ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนฉีดโบท็อกซ์

ขั้นตอนการฉีด Botulinum toxin

  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณที่รักษา
  • ทายาชาหรือประคบเย็นในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อลดอาการเจ็บ
  • ทำการรักษาโดยการฉีดยาตำแหน่งที่ต้องการ
  • เมื่อทำการรักษาแล้ว ทำความสะอาดผิว
  • ระยะเวลาในการฉีด Botulinum toxin

ระยะเวลาในการฉีด Botulinum toxin

  • หากทายาชา ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
  • หากประคบเย็น ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที

การดูแลหลังฉีด Botulinum toxin

  • งดการกด การนวดบริเวณที่ฉีด เพราะจะส่งผลต่อการกระจายตัวของตัวยาไปกล้ามเนื้ออื่นที่ไม่ต้องการได้
  • งดนอนราบ 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด
  • งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังฉีด
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นล้างหน้า การอบไอน้ำ ทรีทเม้นท์ หรือเลเซอร์หลังฉีด 2 สัปดาห์
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีด 1-2 สัปดาห์
  • งดการแต่งหน้าหลังฉีดโบท็อกซ์ภายในวันดังกล่าว
  • หลังฉีดสามารถล้างหน้าทาครีมบำรุงได้ตามปกติ
  • พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ประมาณ 30 นาที  เพื่อช่วยให้โบท็อกซ์กระจายตัวได้ดีขึ้น
  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ 

ข้อห้ามในการฉีด Botulinum toxin

  • คนที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • คนที่มีประวัติแพ้โบท็อกซ์
  • คนที่มีผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด

ผลข้างเคียงในการฉีด Botulinum toxin

  • พบได้น้อย และไม่ได้อันตรายถึงชีวิต ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเป็นเล็กน้อยหรือปานกลาง และมักหายไปเอง
  • จ้ำแดงๆ บวม ช้ำ เขียว บริเวณที่ฉีด หายเองได้ใน 5-7 วัน
  • ปวดศีรษะหรือความรู้สึกเจ็บ คัน บริเวณที่ฉีด
  • หางคิ้วกระดก  คิ้วหรือหนังตาตก มุมปากตกชั่วคราว ยิ้มเบี้ยว จากการกระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการ
  • หน้าแข็งตึงเกินไป จากปริมาณยามากเกิน
  • การติดเชื้อในตำแหน่งที่ฉีด จากโบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐานมีการเก็บรักษาที่ไม่ดีจนมีการปนเปื้อน
  • ผิวหนังบริเวณที่ฉีดยุบตัวลง พบได้น้อย สันนิษฐานว่าเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณนั้นฝ่อตัวลงชั่วคราว แต่สามารถหายได้เอง)