Filler

Filler

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic acid (HA) เป็นสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) หรือ น้ำตาลเชิงซ้อน สร้างขึ้นเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว คอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่ร่างกายจะสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น

เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าใต้ผิวหนัง สาร Hyaluronic acid จะดูดซับน้ำจากเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ เเล้วขยายตัวขึ้น ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นชั้นใต้ผิว ในจุดที่ต้องการแก้ไข  ส่งผลให้ใบหน้าบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เต็มขึ้น ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นขึ้น ช่วยปรับสภาพผิว ทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวมีความยืดหยุ่น นุ่มนวลขึ้น นอกจากนี้ คุณสมบัติสำคัญของฟิลเลอร์ คือ มีความคงตัว จึงสามารถใช้ฉีดเสริมจมูก เสริมคาง

นอกจากนี้ HA จะถูกนำมาผ่านกระบวนการ Cross-Link เพื่อให้มีความคงทนมากขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น โดยฟิลเลอร์ของแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์และการเห็นผลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกระบวนการ Cross-Link, ขนาดของ molecule และความเข้มข้น

สารเติมเต็มประเภท HA มีความปลอดภัย ลักษณะใกล้เคียงกับไฮยารูลอนิกแอซิดที่อยู่ในร่างกายของเรา เมื่อฉีดแล้วจึงสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยจะสลายไปเองเมื่อผ่านไป 6 เดือน-2 ปี ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีในการผลิต และตำแหน่งที่ฉีด 

ปัจจุบันมีฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองในประเทศไทยมีหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งแต่ละรุ่นมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ควรเลือกให้เหมาะกับปัญหาที่จะแก้ไข เพื่อความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับปัญหาดังต่อไปนี้

  • ริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก ขมับ ร่องใต้ตา แก้ม ร่องแก้ม ร่องลึกมุมปาก
  • แก้ไขปรับแต่งรูปหน้า เช่น ยกหน้า midface เติมริมฝีปาก จมูก คาง แนวกรอบหน้า
  • รูขุมขนกว้าง หลุมสิวบนใบหน้า
  • skin booster: เติมผิวชั้นตื้น เพิ่มความชุ่มชื่น ลดเลือนริ้วรอย ช่วยทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวเรียบเนียนขึ้น

การเลือกใช้ตัวฟิลเลอร์นั้นจะต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไข ปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ความต้องการและความพึงพอใจในแต่ละราย โดยแพทย์จะประเมินการใช้ยาตามความเหมาะสมของแต่ละปัญหาแต่ละบุคคล

  • หน้าผาก แนะนำใช้ประมาณ 4-6 cc
  • ขมับ ถ้าขมับไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าขมับลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ร่องใต้ตา ถ้าใต้ตาไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าใต้ตาลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • แก้มตอบ แนะนำใช้ข้างละ 1-2 cc
  • แก้มส้ม ถ้าหน้าแก้มไม่แบนมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหน้าแก้มแบนมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ร่องแก้ม ถ้าร่องแก้มไม่ลึกมาก ใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหากร่องแก้มลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ร่องมุมปาก ถ้าร่องมุมปากไม่ลึกมาก แนะนำใช้ 1 cc แบ่งเติม 2 ข้าง ถ้าหากร่องมุมปากลึกมากแนะนำใช้ข้างละ 1 cc
  • ปาก ถ้าอยากได้ทรงมุมปากยก ปากดูอมยิ้ม เติมแค่ปากบน แนะนำใช้ 1 cc ถ้าหากอยากเติมทั้งปากบน-ล่าง เพิ่มวอลลุ่ม แนะนำให้เติม 2 cc
  • คาง แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc
  • จมูก แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc
  • ยกหน้า midface แนะนำใช้ประมาณ 1-2 cc

ผลลัพธ์ของการฉีด Filler

  • ผลลัพธ์จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังทำทั้งนี้อาจจะต้องรอประมาณ 1 2 สัปดาห์ เพื่อให้ตัวฟิลเลอร์เซ็ตตัวเข้าที่และกลืนไปกับชั้นผิวได้ดีขึ้น
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี ขึ้นกับชนิดของฟิลเลอร์
  • ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

การเตรียมตัวก่อนการฉีด Filler

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความชำนาญ
  • ตรวจสอบ Filler ก่อนฉีดทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจได้ว่าฉีดของแท้ได้มาตรฐาน
  • งดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA, สครับหน้า, ขัดหน้า ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
  • งดแอลกอฮอล์ ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
  • งดใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำ
  • ในรายที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • หากเคยผ่าตัด เคยทำศัลยกรรมบนใบหน้า หรือเคยฉีดสารเติมเต็มใดๆมาก่อน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนฉีด Filler
  • หากมีโรคประจำตัว แพ้ยา แพ้อาหาร ประวัติของโรคเริมบริเวณฝีปาก ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนฉีด Filler

ขั้นตอนการฉีด Filler

  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณที่รักษา
  • ทายาชาหรือประคบเย็นในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อลดอาการเจ็บ
  • ทำการรักษาโดยการฉีดยาตำแหน่งที่ต้องการ
  • เมื่อทำการรักษาแล้ว ทำความสะอาดผิว

ระยะเวลาในการฉีด Filler

  • หากทายาชา ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
  • หากประคบเย็น ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที

การดูแลหลังฉีด Filler

  • งดการกด การนวดบริเวณที่ฉีด ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำให้ทำ
  • งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังฉีด
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นล้างหน้า การอบไอน้ำ ทรีทเม้นท์ หรือเลเซอร์หลังฉีด 2 สัปดาห์
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีด 1-2 สัปดาห์
  • งดการแต่งหน้าหลังฉีดภายในวันดังกล่าว
  • หลังฉีดสามารถล้างหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ
  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • สามารถทายาลดการเกิดจ้ำเขียวหรือรอยช้ำได้ ตามคำแนะนำของแพทย์
  • หากมีอาการปวดสามารถกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามองลได้
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

ข้อห้ามในการฉีด Filler

  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • คนที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ หรือประวัติแพ้ยารุนแรง
  • บุคคลที่มีบาดแผลบนใบหน้าหรือแผลเปิด ผิวหนังอักเสบ มีการติดเชื้อในบริเวณที่จะทําการรักษา
  • บุคคลที่มีสิวที่รุนแรงหรือเรื้อรังบนใบหน้าหรือลำคอ
  • มีประวัติแผลเป็นนูน keloid ง่าย
  • ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่อง กินยากดภูมิ
  • ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบหลอดเลือด หรือการแข็งตัวของเลือด
  • บุคคลที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิต ที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้
  • โรคผิวหนังบาง (e.g., chronic steroid use, genetic syndromes such as Ehlers-Danlos syndrome)
  • ในกรณีที่ได้รับการปลูกถ่ายผิวหนังหรือปลูกถ่ายไขมนัในบริเวณที่ทำการรักษาควรเว้นระยะอย่างน้อย 6 เดือน
  • บุคคลที่มีโรคผิวหนังบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาบาดแผล

ผลข้างเคียงในการฉีด Filler

  • Edema (บวม): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 1 สัปดาห์
  • Erythema (ผื่นแดง): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
  • Bruising (ช้ำ): การช้ำเล็กน้อยที่อาจเกิดได้จากความเสียหายที่เกิดบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน หรือหลอดเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้น เป็นครั้งคราวและดีขึ้นภายใน 2 ~ 3 สัปดาห์
  • Tenderness (จุดเจ็บ): อาจจะมีจุดที่สัมผัสแล้วมีอาการเจ็บ อาการเหล่านี้จะหายภายใน 2 สัปดาห์
  • Visible or palpable filler bumpiness (ก้อนบวม, ก้อนนูน): ดีขึ้นหรือหาย ภายใน 2 สัปดาห์
  • Asymmetry, overcorrection, or undercorrection (ไม่สมมาตร): อาการเหล่านี้ดีขึ้น หากได้รับการฉีดปรับแก้ไข
  • Tyndall effect (รอยสีผิวม่วงคล้ำ): รักษาโดยการกดคลึง, ฉีดสลาย หรือ Q-switched 1064-nm laser
  • Migration (การเคลื่อนตัวของ filler): จากการนวดคลึงรุนแรงหลังฉีด
  • Pain (ความเจ็บปวด): อาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
  • Infection (การติดเชื้อในตำแหน่งที่ฉีด), Allergic hypersensitivity reactions (อาการแพ้)
  • Tissue necrosis (เนื้อเยื่อตาย): จากสารเติมเต็มอุดตันหลอดเลือด อาการจะเกิดขึ้นรวดเร็วหลังการฉีด รักษาโดยการช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณนั้น นวดคลึง, ประคบอุ่น ทา nitroglycerine ointment, ฉีดสลาย
Ultraformer III

Ultraformer III

เทคโนโลยีกระชับผิวหน้าและสลายไขมันใต้ชั้นผิว โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงที่มีความเข้มข้นสูงและเฉพาะเจาะจง เรียกว่า MMFU: Micro & Macro Focused Ultrasound เป็น 3rd Generation ของ Focused Ultrasound มีความเสถียรของการปล่อยพลังงานและสามารถปล่อยพลังงาน แบบ High peak power ด้วยเทคโนโลยี Dual engine โดยพลังงานที่ถูกปล่อยในแต่ละจุดมีความเท่าๆกันและมีความสม่ำเสมอของพลังงานที่ลงสู่ใต้ผิวทุกจุด และลงลึกได้ถึง ตำแหน่งที่ต้องการทำการรักษาได้อย่างจำเพาะเจาะจง (Selective delivery of acoustic energy depth)

ความสามารถของ Ultraformer III

  • 1.5 mm. ลงลึกในระดับชั้น Epidermis / Dermis ช่วยลดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบริเวณเล็กๆ พร้อมช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง

  • 2.0 mm. ลงลึกในระดับชั้น Epidermis / Dermis ช่วยลดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบริเวณเล็กๆ พร้อมช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง

  • 3.0 mm. ลงลึกในระดับชั้น Deep dermis / Subcutaneous tissue ที่มีคอลลาเจน และอีลาสตินสูง ทำให้ผิวแน่น เฟิร์ม จากการกระตุ้นในเกิด collagen remodeling พร้อมกระชับรูขุมขน

  • 4.5 mm. ลงลึกในระดับชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ช่วยยกกระชับผิว และยกกรอบหน้าให้ชัดขึ้น

  • 6.0 mm. ลงลึกในระดับชั้นไขมัน ช่วยสลายไขมันบริเวณแก้มและเหนียงใต้คาง

  • 9.0 mm./ 13.0 mm. ลงลึกในระดับชั้นไขมัน ช่วยสลายไขมันบริเวณลำตัว แขนขา

Ultraformer 3

รูปภาพจาก Ultraformer.com

ใช้หลักการ Hyperthermia Lifting Therapy โดยการส่งผ่านพลังงานแบบจุด Micro & Macro Focused Ultrasound ลงไปใต้ผิวหนังตามตำแหน่งความลึกที่ต้องการ เกิดเป็นความร้อนจุดเล็กๆ ระดับ 65-75 องศาเซลเซียส ที่มีระยะห่างระหว่างจุดเท่าๆ กัน 0.5-2 มม. ทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณที่ต้องการรักษา

และกระตุ้น Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์หลักที่สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงช่วยให้มีการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้เกิดการยกกระชับผิว (Tissue lifting) ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและลดริ้วรอย โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิวบริเวณข้างเคียง

Micro Focused Ultrasound เกิดเป็นความร้อนจุดเล็กๆ ระดับ 65-70 องศาเซลเซียส ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 มิลลิเมตร ที่ระดับความลึก 1.5 mm./ 3 mm./ 4.5 mm

Macro Focused Ultrasound เกิดเป็น Macro Thermal Focused ระดับ 65-70 องศาเซลเซียส ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ 1 มิลลิเมตร ซึ่งมีพลังงานได้สูงกว่า Micro Focused Ultrasound ถึง 8 เท่า

Ultraformer III เป็นที่ยอมรับกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ผ่านการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจาก องค์การอาหารและ ยาของ ประเทศยุโรป (European CE) ประเทศออสเตรเรีย (Australian TGA) ประเทศใต้หวัน (Taiwan FDA) ประเทศญี่ปุ่น (Japan FDA) ประเทศเกาหลี (Korea FDA) และ ประเทศไทย เป็นต้น

Ultraformer III เหมาะกับผู้มีปัญหาดังต่อไปนี้

  • คิ้วตก หนังตาตก ขอบตาล่างหย่อนยาน
  • ผิวหนังใบหน้าและลำคอหย่อนคล้อย
  • ผิวแก้มไม่กระชับ
  • มีแก้มหย่อนคล้อย ร่องแก้มลึก และ มุมปากตก
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว เล็ก ได้สัดส่วน
  • ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างผิว กระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน

ผลลัพธ์ของ Ultraformer III

  • ผลการยกกระชับทันทีหลังทำ ประมาณ 20-30% หลังจากนั้นสภาพผิวจะดีขึ้นเนื่องจากเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เห็นผลเต็มที่ที่ 3 เดือน หลังจากการรักษา
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ขั้นตอนการทำ Ultraformer III

  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณที่รักษา
  • ทาเจลเย็นในบริเวณที่ต้องการทำเลเซอร์ให้ครอบคลุม
  • ทำการรักษาด้วยเลเซอร์ เมื่อปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวด์ MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) ลงสู่ เนื้อเยื่อใต้ผิว คนไข้จะรู้สึกเหมือนมีหนามเล็ก ๆ แทงลงบนผิวลึก ๆ และจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งความรู้สึกนี้ จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
  • เมื่อทำจนทั่วบริเวณแล้ว เช็ดเจลและทำความสะอาดผิว
  • ทาเจลว่านหางจระเข้และครีมเพื่อเป็นการลดการอักเสบและระคายเคืองจากเลเซอร์

ระยะเวลาและความถี่ในการทำ Ultraformer III

  • การยกกระชับหน้าหรือคอ ใช้เวลาประมาณ 15 –20 นาที
  • สลายไขมันหรือกระชับสัดส่วนที่ตัว ใช้เวลาประมาณ 40 –60 นาที
  • Skin toning (2.0 mm) แนะนำรักษา 2 สัปดาห์ครั้ง ติดต่อกัน 3-4 ครั้ง และ รักษาต่อเนื่องเพื่อคงผลการรักษาทุก 36 เดือน
  • Facial lifting แนะนำรักษาต่อเนื่องเพื่อคงผลการรักษาทุก 3-6 เดือน

การดูแลหลังทำ Ultraformer III

  • ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • หลังการรักษาในบางรายอาจมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็จะหายไปเองภายในไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง
  • ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ควรหลีกเลี่ยงการล้างด้วยน้ำร้อน)
  • ควรหลีกเลี่ยงสัมผัสอากาศร้อนหรือเย็นจัดเป็นเวลานานๆ และควรปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด ที่มี SPF มากกว่า 30++ ทุกครั้ง

ข้อห้ามในการทำ Ultraformer III

  • บุคคลที่ผิดปกติในการรับความรู้สึกร้อนเย็น
  • บุคคลที่มีบาดแผลบนใบหน้าหรือแผลเปิด
  • บุคคลที่มีสิวที่รุนแรงหรือเรื้อรังบนใบหน้าหรือลำคอ
  • บุคคลที่มีมีขดลวดโลหะ หรือการปลูกถ่ายในใบหน้าหรือ ลำคอ
  • บุคคลที่มี Bio absorbable รากฟันเทียม
  • บุคคลที่มีมีการฝังอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคภายในร่างกาย
  • บุคคลที่มีโรคผิวหนังบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ รักษาบาดแผล

ข้อควรระวังในการทำ Ultraformer III ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ

  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • เด็ก อายุต่ำกว่า 18 ปี
  • ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสเริม
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด/ยาต้านการจับตัว เป็นก้อนของเลือด (anticoagulant)
  • ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่อง
  • ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบหลอดเลือด หรือการแข็งตัวของเลือด
  • บุคคลที่มีการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจ (Pacemaker)
  • บุคคลที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิต ที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้
  • บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับรู้ความรู้สึก
  • บุคคลที่เคยได้รับอุบัติเหตุและมีการฝังเหล็ก หรือโลหะในบริเวณที่จะทำ
  • บุคคลที่มีการอักเสบ ติดเชื้อบริเวณที่ทำ หรือบริเวณใกล้เคียง
  • บุคคลที่มีการร้อยไหมที่เป็นโลหะ เช่น ไหมทองคำ
  • บุคคลที่เคยได้รับการผ่าตัดบริเวณใบหน้า ควรเว้นระยะอย่างน้อย 6 เดือน –1 ปี
  • ในกรณีที่มีการร้อยไหมแบบชนิดละลาย ควรเว้นระยะในการทำอย่างน้อย 3 เดือน
  • ในกรณีที่มีการฉีดสารลดเลือนริ้วรอย (Botulinum toxin) และกลุ่มสารเติมเต็ม (Filler) ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป
  • ควรงดการทำการรักษาด้วยเลเซอร์หรือ เทคโนโลยีอื่นที่เพิ่มความร้อนสูงลงสู่ใต้ชั้นผิว

ผลข้างเคียงของการทำ Ultraformer III

  • Edema (บวม): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 1 สัปดาห์
  • Erythema (ผื่นแดง): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
  • Tenderness (จุดเจ็บ): อาจจะมีจุดที่สัมผัสแล้วมีอาการเจ็บ อาการเหล่านี้จะหายภายใน 2 สัปดาห์
  • Bruising (ช้ำ): การช้ำเล็กน้อยที่อาจเกิดได้จากความเสียหายที่เกิดบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน หรือหลอดเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้น เป็นครั้งคราวและดีขึ้นภายใน 2 ~ 3 สัปดาห์
  • Lump (ก้อนบวม, ก้อนนูน): มีสาเหตุมาจากการใช้พลังงานที่อาจจะสูงเกินไป และจะดีขึ้นหรือหาย ภายใน 2 สัปดาห์
  • Pain (ความเจ็บปวด): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 2 วัน
  • จากงานวิจัยไม่พบการบาดเจ็บของเส้นประสาทอย่างถาวร
Slimus

Slimus

นวัตกรรม ‘กำจัดเซลล์ไขมันส่วนเกิน’ โดยใช้เลเซอร์ความยาวคลื่น 1060 nm ทำให้เกิดความร้อน (Warm Sculpting treatment / Laser Diode based Thermolipolysis)  ในระดับอุณหภูมิ 4247 องศาเซลเซียส ที่มีความเฉพาะเจาะจง ต่อเนื้อเยื่อไขมัน กำจัดไขมันที่เป็นไขมันต้นกำเนิดได้อย่างถาวร โดยเลเซอร์ทำให้เซลล์ไขมันช็อก และค่อยๆตายไป โดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ข้างเคียงอื่นๆ เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายนี้ จะค่อยๆ ถูกดูดซึม กำจัดออกจากร่างกายตามช่องทางขับของเสียโดยกระบวนการตามปกติของร่างกาย และปลอดภัยต่อผิวเนื่องจากมีการดูดซับพลังงานที่ชั้นหนังแท้น้อยมาก

จุดเด่นของ Slimus

  • Contact Cooling ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขณะทำการรักษา และช่วยป้องกันการ burn
  • Vibration mode ซึ่งช่วยเพิ่ม metabolism ของเซลล์ไขมัน และช่วยเร่งการขับเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายทางระบบน้ำเหลือง
  • กำจัดไขมันที่เป็นไขมันต้นกำเนิดได้อย่างถาวร โดยไม่ต้องศัลยกรรมและไม่ต้องพักฟื้น
  • มีการกระจายความร้อนให้ทั่วถึงจึงได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • ช่วยให้ผิวบริเวณนั้นเนียนเรียบและกระชับ เพราะเป็นการใช้ลำแสงที่ให้พลังงานความร้อน ซึ่งความร้อนจะช่วยทำให้ผิวด้านบนเนียนเรียบและกระชับ
  • ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย, KFDA และ U.S. FDA

รูปที่ 1 การทำงานของ Slimus (Laser Diode based Thermolipolysis)

Slimus เหมาะกับผู้ผู้ที่ต้องการสลายไขมันส่วนเกิน รักษาได้หลายบริเวณ

  • หน้าท้องส่วนบน หน้าท้องส่วนล่าง
  • เอว
  • หลัง
  • แขน
  • สะโพก
  • ต้นขาด้านนอกและต้นขาด้านใน

ผลลัพธ์ของการกำจัดเซลล์ไขมันด้วย Slimus

  • สามารถสลายไขมันและทำลายเซลล์ไขมันต้นกำเนิดได้ตั้งแต่ครั้งแรกในจุดที่ทำการรักษา โดยสัดส่วนบริเวณที่ทำสลายไขมันจะเริ่มเล็กลง เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 6 สัปดาห์ ร่างกายจะค่อยๆกำจัดเซลล์ไขมันที่โดนทำลายออก และจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ภายใน 12 สัปดาห์
  • สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ถึง 24% ต่อบริเวณในแต่ละครั้งที่ทำการรักษา
  • ผลการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการรักษาตั้งแต่ก่อนเริ่มทำการรักษา เพื่อให้คนไข้ได้รับผลลัพธ์ในการกำจัดไขมันส่วนเกิน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • จำนวนครั้งที่ทำการสลายไขมัน ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา และความต้องการของผู้ทำการรักษา โดยทั่วไป ทำซ้ำ 2-3 ครั้งใน 1 บริเวณ ห่างกัน 1-3 เดือนในบริเวณเดิม
  • สามารถทำได้หลายบริเวณในวันเดียวกัน

การเตรียมตัวก่อนสลายไขมันโดยเครื่อง Slimus

  • ก่อนทำเลเซอร์สลายไขมัน ควรดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ
  • หากทำเลเซอร์สลายไขมันบริเวณช่วงท้องควรทำหลังทานอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  • ควรงดทำเลเซอร์สลายไขมันบริเวณหน้าท้องช่วงที่มีประจำเดือน

ขั้นตอนการทำ Slimus

  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณที่รักษา
  • ทาเจลในบริเวณที่ต้องการทำเลเซอร์ให้ครอบคลุม
  • ทำการรักษาด้วยเลเซอร์ เมื่อปล่อยพลังงานลงสู่เนื้อเยื่อใต้ผิว ตัว contact cooling ทำให้รู้สึกเย็น และมีการปล่อยพลังงานเป็นระยะ โดยอาจจะรู้สึกเหมือนมีหนามแทงลงในผิวลึก ๆ และจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งความรู้สึกนี้จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
  • เมื่อทำเสร็จ เช็ดเจลและทำความสะอาดผิว

ระยะเวลาในการทำ Slimus

  • ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 25 นาที (ต่อบริเวณ / 4 applicators)
  • แนะนำรักษา 4-6 สัปดาห์ครั้ง ติดต่อกัน 3-5 ครั้งต่อบริเวณ

การดูแลหลังทำ Slimus

  • ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • หลังการรักษาในบางรายอาจมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็จะหายไปเองภายในไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง
  • ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ควรหลีกเลี่ยงการล้างด้วยน้ำร้อน)
  • ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายได้ใช้กลไกในการขับของเสีย เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกสลายแล้วจะถูกขับออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ อีกทั้งการดื่มน้ำในปริมาณมากๆ จะทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย
  • ทำร่วมกับนวด vacuum rf อื่นได้ แต่เว้นไว้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือให้ก้อนไตหายเจ็บก่อน

ผลข้างเคียงของการทำ Slimus

  • หลังทำอาจมี ผิวแดงชมพู เป็นก้อนใต้ผิวได้ 3 วันถึง สองสัปดาห์

ข้อห้ามในการทำ Slimus

  • ภูมิคุ้มกันบกพร่อง กินยากดภูมิ
  • โรคเลือดแข็งตัวผิดปกติ
  • เคยทำ ดูดไขมันบริเวณนั้น แล้วเหลือ fat น้อย ถ้าทำให้แผลดูดไขมันหายก่อน อย่างน้อย 3 เดือน
  • มีแผลเปิด บริเวณที่ทำ
  • ไส้เลื่อนที่ไม่ได้รักษาบริเวณที่ทำ
  • ประวัติ ผิวไหม้แดดง่าย ทา suntan บริเวณที่จะทำ
  • ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร อันนี้ห้ามเป็นสากล ทำได้หลังคลอด 3 เดือน
  • กินยา gold sodium thiomalate รักษา โรคข้อ
  • กินยาที่ทำให้ไวต่อแสง
  • มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ที่ความรู้สึกลดลงหรือหายไป เบาหวานที่มีชา
  • มีแผลเป็น keloid
  • มะเร็งผิวหนัง
Picocare 450

Picocare 450

เทคโนโลยีในการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับสีผิวให้กระจ่างใสสม่ำเสมอ ลบรอยสัก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวเรียบเนียน ริ้วรอยเล็กๆ ลดน้อยลง และหลุมแผลเป็นตื้นขึ้น

Picosecond Nd: YAG laser ที่ความยาวคลื่น 532 และ 1064 นาโนเมตร พลังงานเลเซอร์ที่ความเร็วระดับ 1 ต่อล้านล้านวินาที (Picosecond = one-trillionth of a second) ซึ่งพัฒนาต่อมาจาก Qswitched laser (ยิงพลังงานด้วยความเร็วในระดับ Nanosecond หรือ 1 ต่อ พันล้านวินาที) โดยปล่อยแสงได้เร็วกว่าในเวลาที่สั้นกว่า ทำให้เกิดความร้อนและการบาดเจ็บที่ผิวน้อยกว่า ผลข้างเคียงเรื่องรอยดำที่พบหลังทำเลเซอร์น้อยกว่า และ ใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่า

ได้รับการรับรองจาก อย., KFDA และ U.S. FDA

หลักการ Picocare 450 Laser

  • พลังงานของเลเซอร์ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Photoacoustic impact ทำลายเม็ดสีแบบเฉพาะเจาะจง คือพลังงานแสงถูกดูดกลืนเข้าไปนั้นเปลี่ยนจากความร้อนจนเกิดเป็นแรงดันและทำให้ตัวเม็ดสีแตกกระจายออกเป็นชิ้นส่วนละเอียด โดยไม่ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในบริเวณข้างเคียง (photothermal damage) และไม่ทำให้ผิวบางลงอีกด้วย หลังจากนั้น เม็ดสีที่แตกตัวจะถูกเก็บทำลายและขับออกจากร่างกายตามระบบปกติ
  • นอกจากนี้พลังงานแสงยังส่งพลังงานที่มีความถี่สูงลงมาถึงชั้นผิวหนัง Dermis มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนใหม่อีกด้วย

รูปภาพจาก Cambridgemedical.com

  • Fractional laser mode ด้วยหัวยิง HEXA MLA (Micro Lens Array) คือเลนส์แบบรวงผึ้งที่บีบลำแสงรวมพลังงานของเลเซอร์ให้กลายเป็นจุดขนาดเล็กๆ จำนวนมากที่มีพลังงานสูงมากกว่า 15 เท่าจากหัวยิงปกติ เกิดผลที่เรียกว่า LIOB (Laser-induced optical breakdown) plasma cavitation effect ทำให้เกิดช่องว่างเล็กๆ คล้ายฟองอากาศในชั้นผิว epidermis และ dermis โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน กระตุ้นให้เกิดการสร้าคอลลาเจนใหม่ ช่วยกระชับรูขุมขน หลุมสิวตื้นขึ้น และลดเลือนริ้วรอย ผิวกระชับขึ้นเรียบเนียนขึ้น

HEXA MLA Handpiece รูปภาพจาก Cambridgemedical.com

Picocare 450 Laser เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีความผิดปกติของเม็ดสี เช่น ฝ้า จุดด่างดำ กระประเภทต่าง ๆ กระตื้น กระลึก กระแดด
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
  • ผู้ที่มีปัญหาความคล้ำบริเวณริมฝีปาก รักแร้ ฐานนม
  • ผู้ที่ต้องการมีผิวขาวกระจ่างใส
  • ผู้ที่ต้องการลบรอยสัก
  • ผู้ที่มีริ้วรอย ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหรือปรับความเรียบเนียนของผิว
  • ผู้ที่มีรอยดำสิว หลุมสิว และแผลเป็นหลุมต่าง ๆ
  • ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ต้องการมีผิวเนียนละเอียด
  • ผู้ที่ต้องการลบรอยแตกลาย

ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Picocare 450 Laser

  • ผลการรักษาสามารถเริ่มสังเกตเห็นผลการรักษาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา โดยทั่วไปสามารถเห็นผลลัพธ์ได้หลังทำเลเซอร์ 1-2 ครั้ง
  • ผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำต่อเนื่องประมาณ 2 5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการรักษา และสภาพผิวของแต่ละบุคคล
    • การรักษากระตื้น หรือ กระแดดก็อาจจะทำเลเซอร์แค่ประมาณ 1-2 ครั้ง
    • การรักษากระลึกที่ต้องใช้จำนวนมากกว่า 5 ครั้ง
  • ผลการรักษา มีความแตกต่างกันตามสภาพผิวบริเวณที่เกิดปัญหา ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ความรุนแรงของเม็ดสี รวมถึงการดูแลตนเองหลังเข้ารับการรักษา
  • การรักษารอยดำ รุขุมขนกว้าง ไม่เกิดบาดแผล ผิวไม่ลอก หน้าไม่บางลง ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • การรักษากระอาจจะมีสะเก็ดสีดำบางๆ ขึ้นบริเวณกระ และค่อยๆ หลุดลอกออกใน 4 7 วัน

ระยะเวลาและความถี่ในการทำ Picocare 450 Laser

  • ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 1530 นาที (ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตที่ใช้)
  • การรักษาเพื่อผิวกระจ่างใส / แก้ปัญหาจุดด่างดำ /แก่ปัญหาผิวหมองคล้ำ แนะนำรักษา 4 สัปดาห์ครั้ง ติดต่อกัน 4-6 ครั้ง
  • การรักษาฝ้า/กระ แนะนำรักษา 24 สัปดาห์ครั้ง ติดต่อกัน 5-6 ครั้ง
  • การลบรอยสัก แนะนำรักษา 6-8 สัปดาห์ครั้ง
  • การลดริ้วรอย เพื่อผิวเรียบเนียน แนะนำรักษา 4 สัปดาห์ครั้ง ติดต่อกัน 5-6 ครั้ง

เตรียมตัวก่อนทำ Picocare 450 Laser

  • ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมในสภาพอากาศร้อนจัดหรือกลางแดดจัดก่อนทำเลเซอร์ประมาณ 2 สัปดาห์
  • งดการทาครีมหรือยาที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, วิตามิน A หรือกรดผลไม้ต่าง ๆ

  • หากมีประวัติแพ้ยา โดยเฉพาะยาชาหรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

  • ผู้ที่มีภาวะเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ควรเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการบำรุงผิวให้มาก เพื่อป้องกันผิวแห้งแตกไปมากกว่าเดิม

  • หากมีโรคประจำตัว หรือมีประวัติการแพ้ยาต่างๆ หรือผ่านการหัตถการอื่นมาก่อนหน้านี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำเลเซอร์

ขั้นตอนการทำ Picocare 450 Laser

  • เช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวในบริเวณดังกล่าว
  • ทำเลเซอร์บริเวณที่ต้องการ
  • เมื่อทำจนทั่วบริเวณแล้ว ทาเจลว่านหางจระเข้และครีมเพื่อเป็นการลดการอักเสบและระคายเคืองจากเลเซอร์

การดูแลหลังทำ Picocare 450 Laser

  1. หลังจากทำเสร็จผิวจะเป็นสีอมชมพู แต่ไม่เกิน 1 วัน ก็จะหายเป็นปกติ ส่วนรอยจุดแดงจะหายภายใน 3 – 7 วัน ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของร่างกายในแต่ละบุคคล
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ครีมที่มีผลลอกผิว หรือการใช้ scrub ขัดผิวหน้า อย่างน้อย 2-3 วัน และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับหลังเข้ารับการรักษา
  3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดแรงๆ เป็นเวลานาน อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังทำ ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดเป็นประจำ
  4. สามารถใช้หน้า แต่งหน้าได้ตามปกติในวันถัดไป ไม่จำเป็นต้องพักหน้า
  5. หากทำการยิงรักษาแบบตกสะเก็ด (ในบางกรณี) สะเก็ดจะหลุดออกเองภายใน 1 สัปห์ดา งดแกะเกา บริเวณที่ทำการรักษา
  6. ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังทำ โดยสามารถใช้น้ำเกลือเช็ดผิว ล้างหน้าตามปกติในวันถัดไป หากแผลโดนน้ำให้ซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
  7. ห้ามถูสบู่หรือใช้เครื่องสำอางในบริเวณที่ทำเลเซอร์จนกว่าสะเก็ดแผลจะหลุดออกจนหมด 
  8. ทาครีมยา ขี้ผึ้ง หรือวาสลีนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 
  9. งดการเกา แกะ ขัดถู หรือกระทำการใดใดที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง การปะทะหรือเสียดสีบริเวณแผล
  10. พบแพทย์ทันทีหากเกิดความผิดปกติบริเวณแผล เช่น ผื่น บวมแดง ตุ่มหนอง รวมทั้งอาการปวดหรือคัน

ข้อห้ามในการทำ Picocare 450 Laser

  • บุคคลที่ผิดปกติในการรับความรู้สึกร้อนเย็น
  • บุคคลที่มีบาดแผลบนใบหน้าหรือแผลเปิด มีการติดเชื้อ เป็นเริมในบริเวณที่จะทําการรักษา
  • บุคคลที่มีโรคผิวหนังบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาบาดแผล และไวต่อแสง
  • กินยา gold sodium thiomalate หรือยาที่ทำให้ไวต่อแสง
  • ผู้ที่มีประวัติ ผิวไหม้แดดง่าย ทา suntan บริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่มีประวัติโรคชักที่ถูกกระตุ้นด้วยแสง
  • ผู้ที่มีประวัติโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์

ข้อควรระวังในการทำ Picocare 450 Laser ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการรักษา เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • ผู้ที่สัมผัสแสงแดดแรงๆ เป็นเวลานาน ทำการลอกผิว มาในระยะเวลาไม่เกิน 2-4 สัปดาห์
  • ผู้ที่ทา tanning product บริเวณที่จะทำมาในระยะเวลาไม่เกิน 4 สัปดาห์

ผลข้างเคียงของการทำ Picocare 450 Laser

  • Edema (บวม): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 1 สัปดาห์
  • Erythema (ผื่นแดง): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
  • Petechiae (จุดเลือดออก): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 2-3 วัน
  • Pain (ความเจ็บปวด): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 1 วัน
  • Burn (ผิวไหม้): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 2-4 สัปดาห์
  • Hyperpigmentation (รอยดำ) / hypopigmentation (ด่างขาว): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 2-4 สัปดาห์
Oligio

Oligio

นวัตกรรม ‘ยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้า และลดไขมันสะสมใต้ผิว’ ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุชนิดขั้วเดียว (Monopolar RF) ที่ 6.78 MHz ปล่อยพลังงานความร้อนที่มีระเบียบลงไปได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ (dermis) ที่มีคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบ รวมถึงเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิว (Subcutaneous layer) โดยสามารถปล่อยพลังงานได้ถึงระดับความลึก 4.3 mm การส่งผ่านพลังงานลงไปใต้ผิวหนัง เกิดเป็นความร้อนระดับ 40-55 องศาเซลเซียส ความร้อนที่ส่งผ่านเข้าไปจะทำการแยกโมเลกุลของน้ำออกจากเส้นใยคอลลาเจน ทำให้คอลลาเจนหดตัว ส่งผลให้ผิวมีความกระชับขึ้น นอกจากนี้ ยังกระตุ้น Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์หลักที่สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงช่วยให้มีการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้เกิดการยกกระชับผิว (Tissue lifting) ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและลดริ้วรอย โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิวบริเวณข้างเคียง อีกทั้งพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นยังลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนังช่วยสลายไขมันสะสมส่วนเกินบนใบหน้า เช่น แก้ม เหนียง ช่วยให้การปรับรูปหน้าเล็กเรียวเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น

จุดเด่นของเครื่อง Oligio รุ่นใหม่

  • หัวยิงขนาดใหญ่ (4 cm2) กระจายพลังงานได้ดี ใช้เวลาในการรักษาน้อย
  • ระบบตรวจวัดความต้านทานผิวได้อัตโนมัติ แบบ Real-time จึงทำให้พลังงานที่ส่งลงไปมีความเหมาะสมกับพื้นที่ในการรักษาแต่ละบริเวณ เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย
  • ระบบตรวจวัดอุณหภูมิผิวแบบ Real-time เพื่อความปลอดภัย
  • เซนเซอร์ตรวจวัดแรงกดเพื่อความปลอดภัยขณะทำการรักษา
  • ระบบความเย็น (Cryogen gas) เพื่อป้องกันผิวไหม้และลดความเจ็บขณะทำ
  • ระบบสั่น (vibration mode) เพื่อลดความเจ็บขณะทำ
Oligio ผ่านการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศเกาหลี (Korea FDA) และ ประเทศไทย

หลักการทำงาน Oligio

Oligio

รูปภาพจาก wtlaser.com

  1. Treatment tip is placed against the skin checking the impedance.
  2. Treatment begins with vibration (if enabled) and a cooling effect on the skin for comfort and safety of surface layers.
  3. Radiofrequency energy penetrates deep onto the skin’s tissue, heating the treatment areas and remodeling the collagen.
  4. Bursts of cryogen on the epidermis while deep heat continues to be delivered
  5. Final delivery of cryogen to cool the epidermis.

Oligio เหมาะกับผู้มีปัญหาดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวได้สัดส่วน
  • ผู้ที่ต้องการสร้างกรอบหน้า ให้ดูชัดขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างผิว กระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ให้ผิวเรียบเนียนและลดริ้วรอย กระชับผิว รูขุมขน
  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินบนใบหน้ามากเกินไป มีเนื้อแก้มเยอะ มีเหนียง หรือไขมันใต้คาง
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย บริเวณใบหน้า ลำคอ คิ้วตก หนังตาตก ขอบตาล่างหย่อนยาน ร่องแก้มลึก และ มุมปากตก ริ้วรอยรอบดวงตาและปาก
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น

ผลลัพธ์ของการทำ Oligio

  • ผลการยกกระชับหลังทำ ประมาณ 20-30% หลังจากนั้นสภาพผิวจะดีขึ้นเนื่องจากเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เห็นผลเต็มที่ที่ 3 เดือน หลังจากการรักษา
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ขั้นตอนการทำ Oligio

  • ถอดเครื่องประดับที่เป็นโลหะทั้งหมดออก
  • ล้างทำความสะอาดเครื่องสำอาง
  • ฆ่าเชื้อบริเวณที่ทำการบำบัด
  • ติด Pad ที่บริเวณด้านหลังผู้ป่วย
  • ทา RF oligio oil บริเวณในบริเวณที่ต้องการทำเลเซอร์ให้ครอบคลุม
  • เริ่มการทดสอบจากระดับมาตรฐานแล้วตั้งระดับตามความรู้สึกระดับความเจ็บที่ทนได้แบบสบายของผู้ป่วย (โดยระดับความรู้สึกร้อนอยู่ที่คะแนน 3)
  • ทำการรักษาด้วยเลเซอร์ จะรู้สึกอุ่น ๆ ที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งความรู้สึกนี้ จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
  • ทำความสะอาดบริเวณที่ทำการรักษาด้วยน้ำอุ่น
  • เพื่อให้ผลการรักษาสูงสุดไม่แนะนําให้ใช้ความเย็นหลังการรักษา

ระยะเวลาในการทำ Oligio

  • การยกกระชับหน้าหรือคอ ใช้เวลาประมาณ 15 –20 นาที
  • Facial lifting แนะนำรักษาต่อเนื่องเพื่อคงผลการรักษาทุก 6-12 เดือน

การดูแลหลังทำ Oligio

  • ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • หลังการรักษาในบางรายอาจมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็จะหายไปเองภายในไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง
  • ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ
  • ดูแลผิวด้วยครีมกันแดดและมอยส์เจอร์ไรเซอร์ปกติ
  • ควรหลีกเลี่ยงสัมผัสอากาศร้อนหรือเย็นจัดเป็นเวลานานๆ และควรปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด ที่มี SPF มากกว่า 30++ ทุกครั้ง

ข้อห้ามในการทำ Oligio

  • บุคคลที่ผิดปกติในการรับความรู้สึกร้อนเย็น
  • บุคคลที่มีบาดแผลบนใบหน้าหรือแผลเปิด มีการติดเชื้อในบริเวณที่จะทําการรักษา
  • บุคคลที่มีสิวที่รุนแรงหรือเรื้อรังบนใบหน้าหรือลำคอ
  • บุคคลที่มีการใส่เครื่องมือแพทย์ฝังไว้ในส่วนของ ร่างกายเช่นเครื่องกระตุ้นหัวใจดว้ยไฟฟ้า ขดลวดโลหะ การปลูกถ่ายในใบหน้าหรือ ลำคอ หรือการฝังอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคภายในร่างกาย
  • บุคคลที่มี Bio absorbable รากฟันเทียม
  • บุคคลที่มีโรคผิวหนังบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาบาดแผล

ข้อควรระวังในการทำ Oligio ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ

  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • เด็ก อายุต่ำกว่า 18 ปี
  • ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสเริม
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด/ยาต้านการจับตัว เป็นก้อนของเลือด (anticoagulant)
  • ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่อง
  • ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบหลอดเลือด หรือการแข็งตัวของเลือด
  • บุคคลที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิต ที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้
  • บุคคลที่เคยได้รับอุบัติเหตุและมีการฝังเหล็ก หรือโลหะในบริเวณที่จะทำ
  • บุคคลที่มีการอักเสบ ติดเชื้อบริเวณที่ทำ หรือบริเวณใกล้เคียง
  • บุคคลที่ต้องกินยาต้านการอักเสบทุกวัน
  • บุคคลที่มีการร้อยไหมที่เป็นโลหะ เช่น ไหมทองคำ
  • บุคคลที่เคยได้รับการผ่าตัดบริเวณใบหน้า ควรเว้นระยะอย่างน้อย 6 เดือน –1 ปี
  • ในกรณีที่มีการร้อยไหมแบบชนิดละลาย ควรเว้นระยะในการทำอย่างน้อย 3 เดือน
  • ในกรณีที่มีการฉีดสารลดเลือนริ้วรอย (Botulinum toxin) และกลุ่มสารเติมเต็ม (Filler) ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป
  • ในกรณีที่ได้รับการปลูกถ่ายผิวหนังหรือปลูกถ่ายไขมนัในบริเวณที่ทำการรักษาควรเว้นระยะอย่างน้อย 6 เดือน
  • ควรงดการทำการรักษาด้วยเลเซอร์หรือ เทคโนโลยีอื่นที่เพิ่มความร้อนสูงลงสู่ใต้ชั้นผิว

ผลข้างเคียงของการทำ Oligio

  • Edema (บวม): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายใน 1 สัปดาห์
  • Erythema (ผื่นแดง): บริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งอาการจะหายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
  • Tenderness (จุดเจ็บ): อาจจะมีจุดที่สัมผัสแล้วมีอาการเจ็บ อาการเหล่านี้จะหายภายใน 2 สัปดาห์
  • Bruising (ช้ำ): การช้ำเล็กน้อยที่อาจเกิดได้จากความเสียหายที่เกิดบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน หรือหลอดเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้น เป็นครั้งคราวและดีขึ้นภายใน 2 ~ 3 สัปดาห์
  • Lump (ก้อนบวม, ก้อนนูน): มีสาเหตุมาจากการใช้พลังงานที่อาจจะสูงเกินไป และจะดีขึ้นหรือหาย ภายใน 2 สัปดาห์
  • Pain (ความเจ็บปวด): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 2 วัน
  • Burn (ผิวไหม้): อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายภายใน 2-4 สัปดาห์
  • จากงานวิจัยไม่พบการบาดเจ็บของเส้นประสาทอย่างถาวร